ประกาศ Autodesk สำหรับท่านที่ใช้ Revit ประสานการทำงานผ่าน Cloud

ยกเลิกการเข้าถึงและทำงานกับ Revit Cloud Models สำหรับเวอร์ชั่น Revit เก่า

ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป Autodesk จะใช้นโยบายใหม่เกี่ยวกับการเข้าถึง และทำงานกับ Revit Cloud Models โดยจะเริ่มมีผล 30 วันหลังจากการเปิดตัว Revit 2027

หลังจากนั้น ฟีเจอร์ Revit Cloud Models จะไม่สามารถใช้งานได้บน Revit เวอร์ชั่นที่เก่ากว่า เวอร์ชั่นปัจจุบันย้อนหลัง 5 เวอร์ชัน

เวอร์ชั่นที่ถูกยกเลิกจะไม่รองรับการทำงานร่วมกันบนคลาวด์ หรือการเข้าถึง Cloud Models อีกต่อไป แต่การใช้งาน Revit บนเครื่อง (local) จะไม่ถูกกระทบ

ทำไม Autodesk ถึงเปลี่ยนมาใช้นโยบายนี้??

นโยบายนี้ถูกปรับให้สอดคล้องกับ **Previous Version Policy** ของ Autodesk พร้อมทั้งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของ Revit Cloud Models ให้ทันสมัยขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสิทธิภาพและความเสถียรมากกว่าเดิม

แล้วผู้ใช้งานควรทำอย่างไร?

เพื่อให้ยังสามารถใช้ฟีเจอร์ Cloud Collaboration และเข้าถึง Revit Cloud Models ได้ ลูกค้าสามารถเลือกได้ 2 วิธี ดังนี้

1. อัพเกรด Revit เป็นเวอร์ชันที่ยังรองรับ Revit Cloud Models

ต้องอัพเกรดเป็น Revit เวอร์ชั่นที่สามารถใช้ Revit Cloud Models ได้ ณ วันที่ Revit 2027 เปิดตัว เวอร์ชั่นที่ยังรองรับคือ Revit 2022 ขึ้นไป

2. หากไม่ต้องการอัพเกรด

ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลด Cloud Models มาเก็บบนเครื่อง แล้วทำงานต่อได้บนเวอร์ชั่นเดิมในโหมด Local (ไม่มีการทำงานร่วมกันบนคลาวด์)

ผลที่จะเกิดขึ้นต่อเวอร์ชัน Revit ในอนาคต

– ทุกครั้งที่มีการออก Revit เวอร์ชั่นใหม่ เวอร์ชั่นที่เก่าที่สุดภายในช่วง “5 เวอร์ชั่นย้อนหลัง” จะถูกตัดการเข้าถึง Revit Cloud Models

ตัวอย่างเช่น: เมื่อ Revit 2028 เปิดตัว

Revit 2022 จะไม่สามารถเข้าถึง Revit Cloud Models ได้อีกต่อไป

RevitCantrun

การแก้ไขปัญหา “This app can’t run on this device” สำหรับ Autodesk Revit หลังอัปเดต Windows 11 ล่าสุด

แนวทางแก้ไขและขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

เนื่องจากปัญหานี้เกิดขึ้นกับโปรแกรมหลายเวอร์ชันพร้อมกัน วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดมักจะเกี่ยวข้องกับการแก้ไขที่ระดับระบบปฏิบัติการ:


1. การกู้คืน Windows 11 กลับไปเวอร์ชันก่อนการอัปเดต (Rollback Windows Update)

ในกรณีที่การอัปเดตล่าสุดของ Windows 11 เป็นสาเหตุของความไม่เข้ากันนี้โดยตรง การย้อนกลับ (Restore) ไปยังสถานะก่อนการอัปเดตคือทางออกที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด (ตามที่ท่านผู้ใช้งานได้ทดลองและยืนยันแล้ว)

  • เปิด Settings (การตั้งค่า)
  • ไปที่ Windows Update
  • เลือก Update History (ประวัติการอัปเดต)
  • ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้มองหา Uninstall Updates (ถอนการติดตั้งอัปเดต)
  • เลือกอัปเดตล่าสุดที่คุณต้องการย้อนกลับ (ควรถอนการติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยหรืออัปเดตคุณภาพล่าสุด)
  • คลิก Uninstall และทำตามขั้นตอนบนหน้าจอ
  • ระบบจะทำการรีสตาร์ทและกู้คืน Windows กลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้า (ข้อควรระวัง: คุณต้องดำเนินการภายใน 10 วันนับจากวันที่อัปเดต)

[Note]: หากเกิน 10 วันหลังการอัปเดต หรือไม่มีตัวเลือกการถอนการติดตั้ง อาจต้องใช้วิธี System Restore Point หรือการใช้ Recovery Image แทน


ลูกค้า MTECH สามารถติดต่อฝ่ายขาย เพื่อ Remote แก้ไขปัญหาโดยทีมงาน Support

screenshot-1764130635958

“Could not access network location Revit ####\ เมื่อติดตั้ง Revit 2023 ขึ้นไป

ปัญหาที่พบ: เมื่อพยายามติดตั้งโปรแกรม Revit เวอร์ชัน 2023 หรือรุ่นที่ใหม่กว่า การติดตั้งหยุดชะงักและล้มเหลว โดยแสดงข้อความแจ้งเตือนดังนี้:

“Could not access network location Revit [Release Version].”

สาเหตุ: ปัญหานี้มักเกิดจากการที่มี ไฟล์ตกค้าง (Remnant files) จากการติดตั้งครั้งก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่ในระบบ Windows ทำให้ตัวติดตั้งเกิดความสับสน


วิธีการแก้ไขปัญหา (Solutions)

ขอแนะนำให้ทำตามขั้นตอนทีละวิธี และลองติดตั้งโปรแกรมใหม่ดูว่าผ่านหรือไม่ ก่อนที่จะข้ามไปทำวิธีถัดไป

วิธีที่ 1: ลบไฟล์ตกค้างออกจากระบบ (Clean Uninstall)

นี่เป็นวิธีพื้นฐานที่สุด คือการลบไฟล์ขยะที่เกี่ยวข้องกับ Revit ออกให้หมด

  • ให้ทำตามขั้นตอน Clean Uninstall (การถอนการติดตั้งแบบสะอาด) ตามมาตรฐานของ Autodesk เพื่อลบไฟล์และโฟลเดอร์ที่เกี่ยวข้องกับ Revit ออกจากเครื่องให้หมดก่อนเริ่มติดตั้งใหม่

วิธีที่ 2: ใช้เครื่องมือ Revit Install Cleanup Utility (เฉพาะ Revit 2023 เท่านั้น)

หากคุณกำลังเจอปัญหานี้กับ Revit 2023 ให้ใช้วิธีนี้ (ห้ามใช้กับเวอร์ชันอื่น)

ขั้นตอน:

  1. ถอนการติดตั้ง (Uninstall) ส่วนเสริม (Extensions) ของ Revit 2023 ทั้งหมด
  2. ถอนการติดตั้งโปรแกรม Revit 2023
  3. ดาวน์โหลดและรันเครื่องมือ Revit 2023 Install Cleanup Utility (สามารถหาได้จากเว็บไซต์ Autodesk) เพื่อลบไฟล์ตกค้างโดยอัตโนมัติ
  4. ลองติดตั้งโปรแกรมใหม่อีกครั้ง

วิธีที่ 3: ลบไฟล์ตกค้างใน Windows Registry (ขั้นสูง)

หากทำตาม 2 วิธีแรกแล้วยังไม่ได้ผล ให้ใช้วิธีนี้

⚠️ คำเตือน: การแก้ไข Windows Registry มีความเสี่ยง หากทำผิดพลาดอาจทำให้ระบบ Windows เสียหายได้ กรุณาสำรองข้อมูล Registry (Backup) ก่อนเริ่มดำเนินการเสมอ

ขั้นตอน:

  1. คลิกปุ่มค้นหาของ Windows (Search) พิมพ์คำว่า “regedit” แล้วกด Enter
  2. ในหน้าต่าง Registry Editor ให้เข้าไปตามที่อยู่นี้: HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Autodesk\UPI
  3. ตรวจสอบโฟลเดอร์ย่อย (Keys) ในนั้น ดูทางฝั่งขวาว่ามีตัวไหนที่มีค่า (Value) เป็น “Revit [เวอร์ชันที่คุณจะลง]” หรือไม่
  4. ตรวจสอบดูว่าที่อยู่ไฟล์ (File path) ที่ระบุในนั้น เป็นตำแหน่งที่ไม่มีอยู่จริงในเครื่องหรือไม่
  5. หากพบ Path ที่ไม่มีอยู่จริง ให้คลิกขวาแล้ว ลบ (Delete) ค่าหรือ Key ที่มีปัญหานั้นทิ้งไป
  6. ลองทำการติดตั้ง Revit ใหม่อีกครั้ง

สรุปสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนแก้ไข:

  • สิทธิ์ Administrator ในการจัดการคอมพิวเตอร์
  • หากเป็นคอมพิวเตอร์ของบริษัท แนะนำให้ติดต่อฝ่าย IT เพื่อช่วยดำเนินการในส่วนของการแก้ไข Registry
Screenshot_25-11-2025_16534_www.autodesk.com

Revit 2025 “An unrecoverable error has occurred” on opening Revit

แก้ปัญหา “An unrecoverable error has occurred” เมื่อเปิด Revit 2025 (อัปเดตปี 2025)

ปัญหา “An unrecoverable error has occurred. The program will now be terminated” เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมากใน Revit 2025 โดยเฉพาะตอนเปิดโปรแกรมใหม่ ๆ หรือหลังติดตั้งใหม่ มันทำให้ Revit ปิดตัวลงทันทีและอาจส่งรายงานข้อผิดพลาดไปยัง Autodesk ปัญหานี้มักเกิดจาก:

  • .NET Runtime ไม่ได้ติดตั้งหรือติดตั้งไม่สมบูรณ์ (ปัญหาหลักในเวอร์ชันเริ่มต้น)
  • Add-on จากบุคคลที่สาม (เช่น Environment for Revit) ที่ยังไม่รองรับ Revit 2025
  • การติดตั้ง Revit ที่เสียหาย หรือไฟล์ชั่วคราว/การตั้งค่าผู้ใช้ที่ค้าง
  • เวอร์ชัน Revit ที่เก่าเกินไป (ก่อนอัปเดตล่าสุด)

จากประสบการณ์ของคุณที่บอกว่า อัปเดต Revit 2025 เป็นเวอร์ชันล่าสุดแล้วหาย นี่คือวิธีแก้ที่ยืนยันแล้วว่าทำงานในปี 2025 (ตามข้อมูลล่าสุดจาก Autodesk และชุมชนผู้ใช้) ส่วนในอดีต (เช่นปี 2024) ที่อัปเดตแล้วไม่หาย มักเพราะปัญหา .NET หรือ add-on ยังไม่ได้รับการแก้ไขในแพตช์แรก ๆ แต่ตอนนี้แพตช์ล่าสุด (เช่น 2025.1 หรือสูงกว่า) แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ดีขึ้น

วิธีแก้หลัก: อัปเดต Revit 2025 เป็นเวอร์ชันล่าสุด (แก้ได้ 80-90% ของเคส)

Autodesk แนะนำให้อัปเดตก่อนเสมอ เพราะแพตช์ใหม่ ๆ แก้ไขปัญหา startup crash โดยตรง โดยเฉพาะใน Revit 2025.4 ที่เพิ่งออกมา มีการปรับปรุง CER Service (Customer Error Reporting) ที่อาจทำให้ crash ถ้าไฟล์ขาดหาย

ขั้นตอนอัปเดต (ใช้เวลา 10-30 นาที):

  1. เปิด Autodesk Desktop App (ไอคอนรูปตัว A บนเดสก์ท็อป) หรือไปที่ Autodesk Account
  2. คลิก Product Updates > เลือก Revit 2025 > ดาวน์โหลดและติดตั้งเวอร์ชันล่าสุด (ปัจจุบันคือ 2025.1 หรือสูงกว่า ตรวจสอบวันที่ 25 พ.ย. 2025)
  3. รีสตาร์ทเครื่องหลังติดตั้ง แล้วลองเปิด Revit ใหม่
  4. ถ้าไม่มี Desktop App ให้ดาวน์โหลดจาก Autodesk Download Center

หลังอัปเดต ถ้าปัญหายังอยู่ ลองวิธีอื่นด้านล่าง

วิธีแก้เพิ่มเติม (ถ้าอัปเดตแล้วยังไม่หาย)

จากบทความเก่าของ MTECH Thailand (เมษายน 2024) ที่คุณอ้างอิง ปัญหาในตอนนั้นเกิดจาก .NET 8.0.0 ไม่สมบูรณ์หรือ add-on Environment for Revit ตอนนี้ (ปี 2025) Autodesk มีแพตช์แก้แล้ว แต่ถ้าคุณมี add-on เหล่านี้ ลองทำตามนี้:

1. แก้ปัญหา .NET Runtime (ถ้าอัปเดต Revit ไม่ช่วย)

Revit 2025 ต้องการ .NET Desktop Runtime 8.0.0 และ ASP.NET Core Runtime 8.0.0 ให้ติดตั้งใหม่จากโฟลเดอร์ Revit เอง

ขั้นตอน:

  1. ไปที่โฟลเดอร์ติดตั้ง Revit (ปกติ C:\Autodesk\Revit 2025\ หรือค้นหา “Revit 2025” ใน File Explorer)
  2. เข้าไปที่ \3rdParty\x64\
  3. ไปที่ \dotNet\80 > รัน windowsdesktop-runtime-8.0.0-win-x64.exe (ติดตั้งแบบ Repair ถ้ามี)
  4. ไปที่ \aspNetCore\80 > รัน aspnetcore-runtime-8.0.0-win-x64.exe
  5. รีสตาร์ทเครื่อง แล้วลองเปิด Revit

หรือดาวน์โหลด .NET 8.0 ล่าสุดจาก Microsoft .NET Download

2. Disable Add-on ที่มีปัญหา (เช่น Environment for Revit)

Add-on เก่าอาจทำให้ crash บน startup โดยเฉพาะ Environment for Revit จาก Arch-intelligence ที่ยังไม่รองรับ 2025 ในแพตช์แรก

ขั้นตอน:

  1. ปิด Revit ก่อน
  2. ไปที่ C:\ProgramData\Autodesk\Revit\Addins\2025\
  3. ค้นหาไฟล์ Environment.addin (หรือ add-in อื่นที่สงสัย) > ย้ายไปโฟลเดอร์อื่น (เช่น Desktop) ชั่วคราว
  4. ลองเปิด Revit ถ้าปกติแล้ว ให้รออัปเดต add-on จากผู้พัฒนา (ตรวจสอบที่ Autodesk App Store)

3. ล้างไฟล์ชั่วคราวและรีเซ็ตการตั้งค่า (สำหรับเคสติดขัด)

จากชุมชน Reddit และ Autodesk

ขั้นตอน:

  1. กด Win + R > พิมพ์ %temp% > ลบไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์ Temp (ยกเว้นที่ล็อก)
  2. ไปที่ %localappdata%\Autodesk\ > เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ Revit และ Autodesk Revit 2025 เป็น “Revit_old” (Revit จะสร้างใหม่)
  3. ล้าง Performance Monitor: กด Ctrl + Alt + Del > Task Manager > Performance > ตรวจสอบ CPU/RAM ไม่มีปัญหา
  4. รัน Revit as Administrator (คลิกขวาไอคอน > Run as admin)

4. ถ้ายังไม่หาย: Reinstall Revit

  • ถอนการติดตั้ง Revit ผ่าน Control Panel > Programs
  • ลบโฟลเดอร์เหลือใน C:\Program Files\Autodesk\ และ C:\ProgramData\Autodesk\Revit\
  • ดาวน์โหลดและติดตั้งใหม่จาก Autodesk Account (เลือกเวอร์ชันล่าสุดทันที)

ทำไมรอบนี้ (2025) อัปเดตแล้วหาย แต่ก่อน (2024) ไม่หาย?

  • ปี 2024: แพตช์แรก (เมษายน 2567) ยังไม่ครอบคลุม add-on และ .NET บางเคสต้องรอแพตช์ถัดไป
  • ปี 2025: Autodesk ปรับปรุง CER Service และ .NET integration ในแพตช์ 2025.1+ ทำให้อัปเดตเดี่ยว ๆ แก้ได้เร็วขึ้น บวกกับ Windows 11 ที่เสถียรกว่า

สรุปขั้นตอนสั้น ๆ (เริ่มจากอันง่ายสุด)

  1. อัปเดต Revit 2025 ล่าสุด ผ่าน Autodesk Desktop App → ลองเปิด
  2. ถ้าไม่หาย: ติดตั้ง .NET ใหม่จากโฟลเดอร์ Revit
  3. Disable add-on ใน C:\ProgramData\Autodesk\Revit\Addins\2025
  4. ล้าง Temp และรีเซ็ตโฟลเดอร์ %localappdata%\Autodesk\

ถ้าทำตามแล้วยังมีปัญหา ลองส่ง Journal file (ใน %localappdata%\Autodesk\Revit\Journals\) ไปถามใน Autodesk Forum หรือ MTECH Support (marketing@mtechthailand.com) นะครับ ปัญหานี้ส่วนใหญ่แก้ได้ไม่ยาก ถ้าเครื่องสเปคพอ (เช็คที่ Autodesk System Requirements)

ถ้ามีรายละเอียดเพิ่ม (เช่น Journal error หรือ add-on ที่ใช้) บอกมาได้ จะช่วยเจาะลึกกว่านี้! 😊

ADC need to clear

เจอปัญหา “Desktop Connector folder needs to be cleared” เมื่อเปิดเครื่องหรือเปิด Autodesk Desktop Connector

ปัญหา: ผู้ใช้หลายรายพบว่าเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์หรือเปิดโปรแกรม Autodesk Desktop Connector จะปรากฏข้อความแจ้งเตือนดังนี้

Desktop Connector Desktop Connector folder needs to be cleared เราพบว่าโฟลเดอร์ Desktop Connector ของคุณยังมีไฟล์ที่หลงเหลือมาจากการติดตั้งหรืออินสแตนซ์ก่อนหน้า คุณต้องลบหรือย้ายข้อมูลเหล่านี้ออกไปนอกโฟลเดอร์ Desktop Connector ไฟล์ข้อมูลของคุณอยู่ที่เส้นทางโฟลเดอร์ด้านล่างนี้ เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้รีสตาร์ท Desktop Connector อีกครั้ง


วิธีแก้ไขปัญหา
เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ Autodesk Construction Cloud (ACC) Docs

1.เมื่อเจอป๊อปอัป “Desktop Connector folder needs to be cleared” ให้คลิกลิงก์ที่อยู่ในข้อความ (ปกติจะเป็นลิงก์สีฟ้า) เพื่อเปิดไปยังโฟลเดอร์ที่มีปัญหาทันที


2.กลับมาที่โฟลเดอร์ที่เปิดไว้ในขั้นตอนที่ 1
– คลิกขวาที่โฟลเดอร์ชื่อ “ACC Docs”
– เลือก “เปลี่ยนชื่อ” (Rename)
– ตั้งชื่อใหม่ เช่น ACC Docs_Old หรือ ACC Docs_Backup


3.ปิด Desktop Connector ให้สนิทก่อน โดยคลิกขวาที่ไอคอน Desktop Connector บน System Tray (มุมล่างขวา) → เลือก “Shut down”


4.เปิด Autodesk Desktop Connector ใหม่อีกครั้ง ระบบจะสร้างโฟลเดอร์ “ACC Docs” ใหม่ให้อัตโนมัติ

5.เมื่อ Desktop Connector เปิดขึ้นมา จะให้คุณเลือกโปรเจกต์ใหม่ (Select your project / Choose your hubs)

ให้เลือก Hub และโปรเจกต์เดิมที่เคยใช้เหมือนปกติ


7.รอให้ซิงค์ข้อมูลใหม่จนเสร็จ (อาจใช้เวลาสักครู่ ขึ้นอยู่กับจำนวนไฟล์)

เสร็จเรียบร้อย! ปัญหาจะหายไป และคุณสามารถใช้งานได้ตามปกติ


0EM3g000003ix6T

เปิด Revit แล้วมีแถบดำกะพริบๆ ปัญหาจาก SQLDUMPER.EXE

เจอเคสแปลกๆนานๆเจอที เวลากดเปิดโปรแกรม Revit หรือ Advance Steel แล้วจู่ๆ ก็มีหน้าต่างสีดำกะพริบถี่ๆ ขึ้นมาบนหน้าจอจนแทบจะอ่านไม่ทัน ต้องเพ่งดูทีละตัวถึงจะเห็นว่าชื่อมันคือ SQLDUMPER.EXE

ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 11 และมี SSD/NVMe drive ที่มีขนาดเซกเตอร์ใหญ่กว่า 4KB ซึ่ง Autodesk Support ระบุว่าเป็นสาเหตุหลัก เพราะ SQL Server ที่เป็นฐานข้อมูลของโปรแกรมไม่สามารถทำงานบนไดรฟ์ที่มีขนาดเซกเตอร์แบบนี้ได้


สาเหตุหลักและวิธีแก้ไขที่ซับซ้อน

บทความจาก Autodesk อธิบายสาเหตุและแนวทางแก้ไขไว้อย่างละเอียด ซึ่งต้องยอมรับว่าค่อนข้างซับซ้อนและใช้เวลาพอสมควร เช่น

  • แก้ไข Registry: ต้องเข้าไปแก้ไขค่าใน Windows Registry ด้วยตัวเอง เพื่อบังคับให้ระบบจำลองขนาดเซกเตอร์เป็น 4KB เหมือนกับใน Windows 10
  • ตรวจสอบและแก้ไขสิทธิ์การใช้งานโฟลเดอร์: ต้องเข้าไปเช็กสิทธิ์การใช้งานของโฟลเดอร์โปรแกรมใน C:\ProgramData\Autodesk เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้มีสิทธิ์ Full control
  • ตรวจสอบและแก้ไขการติดตั้ง SQL Server LocalDB: ต้องใช้เครื่องมือและขั้นตอนที่ซับซ้อนเพื่อตรวจสอบว่าไฟล์ฐานข้อมูล SQL Server เสียหายหรือไม่

วิธีเหล่านี้ต้องใช้ความเข้าใจทางเทคนิคพอสมควร และบางครั้งทำตามหลายขั้นตอนแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
อ้างอิงบทความ >> SQLDUMPER.EXE window opening and closing when launching or working in Revit or Advance Steel


วิธีแก้ไขที่ง่ายและได้ผลทันที

แต่จากการลองผิดลองถูก มีวิธีหนึ่งที่ง่ายและได้ผลทันทีโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนที่ซับซ้อน นั่นก็คือ:

“ลบ SQL Server ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องทิ้งไปซะ!”

พอถอนการติดตั้ง SQL Server ออกจากระบบ ปัญหาหน้าต่างกะพริบก็หายไปทันที ทำให้สามารถใช้งาน Revit ได้อย่างปกติ . วิธีนี้อาจดูรุนแรงไปบ้าง แต่ในเมื่อวิธีที่ซับซับซ้อนใช้ไม่ได้ผล การแก้ปัญหาแบบตรงไปตรงมาก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ

วิธีลบและซ่อมแซม SQL Server

การลบหรือซ่อมแซม SQL Server สามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้:

  1. กดปุ่ม Start แล้วพิมพ์ appwiz.cpl เพื่อเปิดหน้าต่าง Programs and Features
  2. ในช่องค้นหา พิมพ์ sql
  3. คลิกขวาที่ SQL Server LocalDB แล้วเลือก:
    • Repair: หากต้องการซ่อมแซมไฟล์ที่เสียหาย โดยข้อมูลต่างๆ จะยังคงอยู่ครบ
    • Uninstall: หากต้องการลบโปรแกรมออกทั้งหมด

SQL Server คืออะไร? ลบแล้วจะมีปัญหาไหม?

SQL Server คือโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน “คลังข้อมูล” ของแอปพลิเคชันต่างๆ . สำหรับ Revit หรือ Advance Steel จะใช้ SQL Server LocalDB ซึ่งเป็นเวอร์ชันย่อส่วนเพื่อเก็บข้อมูลโปรเจกต์และข้อมูลเฉพาะของโปรแกรมไว้ในเครื่อง

หน้าที่หลัก:

  • จัดเก็บข้อมูล: เก็บข้อมูลในรูปแบบตารางอย่างเป็นระบบ
  • จัดการข้อมูล: ช่วยให้โปรแกรมสามารถเรียกดู, เพิ่ม, แก้ไข หรือลบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

ลบแล้วมีปัญหาไหม?

การลบ SQL Server LocalDB อาจทำให้ฟังก์ชันบางอย่างของ Revit หรือ Advance Steel ที่ต้องใช้ฐานข้อมูลไม่สามารถทำงานได้ เช่น การจัดการข้อมูลโปรเจกต์บางส่วน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่โปรแกรมมีปัญหาแถบดำกะพริบ การลบ SQL Server มักเป็นวิธีที่ได้ผล เพราะปัญหานี้เกิดจากความไม่เข้ากันของ SQL Server กับฮาร์ดแวร์หรือระบบปฏิบัติการบางอย่าง เมื่อลบออก ปัญหาก็จะหายไป ทำให้โปรแกรมสามารถเปิดใช้งานได้ตามปกติครับ

ภาพงานสัมมนา Carbon Embodied

ภาพบรรยากาศบางส่วนจากงานสัมมนา Carbon Embodied: Revit x Dynamo x AI x Forma (Autodesk tools for Carbon Embodied) จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ

ทีม MTECH ขอขอบพระคุณผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากทีมผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณชาญ โชคชัย (ฺTerritoty Solutions Engineer) จาก Autodesk Thailand และคุณกฤษดา อินธรรมมา (BIM / Technical Specialist) จาก MTECH Thailand มาร่วมแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับ Carbon Embodied ภายในงานเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเรียนรู้ และการแชร์ประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับโปรแกรม Autodesk เช่น Revit, Dynamo และ Forma

ทีม MTECH จะมีกิจกรรมดีๆเพื่อมอบความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านอีกแน่นอนค่ะ

ฝากติดตามกิจกรรมในครั้งหน้าผ่านหน้าเพจเฟสบุ๊คหรือหน้าเว็บไซต์นี้ได้เลยค่ะ

Facbook: MTECH Thailand

reacap revit c

Recap แก้เคส Revit เปิดไฟล์งานจากบน Docs แล้วเด้งหลุด

Recap: วิธีแก้ไขปัญหา Revit เปิดไฟล์งานจาก Autodesk Docs แล้วเด้งหลุด ลบลงใหม่ก็ไม่หาย

กรณีลูกค้าประสบปัญหาใช้งาน Revit แล้วเกิดไฟตก ส่งผลให้โปรแกรมเด้งหลุดเมื่อเปิดไฟล์งานจาก cloud (Autodesk Docs) แต่ไฟล์ที่อยู่ในเครื่องสามารถเปิดได้ปกติ อาการนี้อาจเกิดจาก bad data ในไฟล์ user.config

วิธีแก้ไขปัญหา

1. Recreate user.config

  1. ไปที่ path:
  C:\Users\%USERNAME%\AppData\Local  
  1. เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ “Autodesk,_Inc” เป็น “Autodesk,_Inc_OLD”

หมายเหตุ: การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลกับทุกเวอร์ชันของ Revit ที่ติดตั้งไว้ หากเวอร์ชันอื่นมีปัญหาหลังจากนี้ ให้คัดลอกเนื้อหาในโฟลเดอร์เก่า (OLD) ไปใส่ในโฟลเดอร์ใหม่ โดยไม่ต้องทับไฟล์ที่มีอยู่

  1. เปิดโปรแกรม Revit
  2. ลองเปิดไฟล์ Cloud model

2. Clear CollaborationCache

สำหรับ Revit 2024 และเวอร์ชันที่ใหม่กว่า

  1. เปิด Revit และไปที่ Options
  2. เปลี่ยนตำแหน่ง Cloud model cache (ตัวอย่าง:
   C:\Users\%USERNAME%\AppData\Local\Autodesk\Revit_New  
  1. ปิดและเปิด Revit ใหม่อีกครั้งเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงมีผล

หากยังไม่สามารถแก้ไขได้ ให้ทำการ Clear PacCache ตามขั้นตอนด้านล่าง:

Clear PacCache (Personal Accelerator Cache):

  1. สร้างโฟลเดอร์ชื่อ Cache ไว้ที่ Desktop
  2. ภายในโฟลเดอร์ Cache ให้สร้าง subfolder ชื่อ Pac
  3. ย้ายทุกอย่างใน path ด้านล่าง (ยกเว้นโฟลเดอร์ Logs และไฟล์ JSON) ไปที่ subfolder ที่สร้างไว้:
  C:\Users\%USERNAME%\AppData\Local\Autodesk\Revit\PacCache  

สำหรับ Revit 2023 และเวอร์ชันก่อนหน้า

  1. สร้างโฟลเดอร์ชื่อ Cache ไว้ที่ Desktop
  2. ภายในโฟลเดอร์ Cache ให้สร้าง subfolder ชื่อ Collab
  3. ย้ายเนื้อหาทั้งหมดใน path ด้านล่างไปที่ subfolder:
  %localappdata%\Autodesk\Revit\Autodesk Revit ####\CollaborationCache

หลังจากทำตามขั้นตอนดังกล่าว หากปัญหายังไม่หาย อาจต้องตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับ network configuration หรือ permissions ในระบบ.

Autodesk แจ้งปรับราคา SRP ขึ้นประมาณ 10% ตั้งแต่ 7 มกราคม 2568 เป็นต้นไป

ประกาศสำคัญ Autodesk จะปรับราคาขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2025 

ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2025 เป็นต้นไป Autodesk จะเริ่มปรับราคาค่าสมัครสมาชิกซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ในประเทศไทย (และประเทศอื่นๆในแถบอาเซียน) การปรับราคานี้จะทำให้ราคาค้าปลีก (SRP) ใกล้เคียงกับประเทศต่างๆ ในทุกภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อ การสมัครสมาชิกรายใหม่ และการต่ออายุสมาชิก ทั้งแบบ 1ปี และ 3ปี  

ซอฟต์แวร์ที่มีผลต่อการปรับขึ้นราคาได้แก่ 

  • AutoCAD 
  • AEC Collection 
  • Product Design & Manufacturing Collection 
  • Revit 
  • Civil 3D 
  • Inventor Professional 
  • Navisworks 
  • BIM Collaborate Pro 
  • และอื่นๆ  

หากท่านใดมีข้อสงสัย ต้องการสอบถามราคา หรือสั่งซื้อซอฟต์แวร์ สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายขาย 

Line Official: @mtechthailand  
Email: marketing@mtechthailand.com 
หรือทักแชทผ่านหน้าเว็บไซต์ หรือกรอกแบบฟอร์มนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเพื่อให้ข้อมูลแก่ท่าน 

เช็ควันหมดอายุสำหรับซอฟแวร์ Autodesk แบบรายปี

เพื่อให้ Primary Admin, Secondary Admin หรือ Users ตรวจสอบวันหมดอายุของสัญญาใช้งานซอฟต์แวร์ Autodesk แบบรายปีได้อย่างรวดเร็ว สามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:

สำหรับ Primary Admin และ Secondary Admin

1.ไปที่เว็บไซต์ Autodesk Account และเข้าสู่ระบบด้วยบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) ของคุณ


 

2. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ไปที่ “Subscriptions and Contracts” ในเมนู Billing and Orders ด้านซ้าย


 

3.ภายใต้ข้อมูลของซอฟต์แวร์ จะแสดงรายละเอียดสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ เลขสัญญา (Contract #), วันหมดอายุสัญญา, จำนวนที่นั่ง (Seats), ระยะเวลาสัญญา (Terms: 1 ปี / 3 ปี) และ ทีม (Teams) ที่สัญญานั้นบรรจุอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณทราบวันที่ต้องต่ออายุล่วงหน้าและจัดการการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ




สำหรับ Users (ผู้ใช้งานทั่วไป)

1.เปิดโปรแกรม Autodesk ของคุณ


 

2.คลิกที่ชื่อโปรไฟล์ ของคุณ มุมขวาบนของหน้าต่างโปรแกรม


 

3.เลือก Manage License (จัดการใบอนุญาต)


 

4.คลิกที่เครื่องหมาย > เพื่อดูรายละเอียดทั้งหมด เช่น วันหมดอายุ, Autodesk ID, และ License Behavior