RevitCantrun

การแก้ไขปัญหา “This app can’t run on this device” สำหรับ Autodesk Revit หลังอัปเดต Windows 11 ล่าสุด

แนวทางแก้ไขและขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

เนื่องจากปัญหานี้เกิดขึ้นกับโปรแกรมหลายเวอร์ชันพร้อมกัน วิธีแก้ไขที่ดีที่สุดมักจะเกี่ยวข้องกับการแก้ไขที่ระดับระบบปฏิบัติการ:


1. การกู้คืน Windows 11 กลับไปเวอร์ชันก่อนการอัปเดต (Rollback Windows Update)

ในกรณีที่การอัปเดตล่าสุดของ Windows 11 เป็นสาเหตุของความไม่เข้ากันนี้โดยตรง การย้อนกลับ (Restore) ไปยังสถานะก่อนการอัปเดตคือทางออกที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด (ตามที่ท่านผู้ใช้งานได้ทดลองและยืนยันแล้ว)

  • เปิด Settings (การตั้งค่า)
  • ไปที่ Windows Update
  • เลือก Update History (ประวัติการอัปเดต)
  • ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้มองหา Uninstall Updates (ถอนการติดตั้งอัปเดต)
  • เลือกอัปเดตล่าสุดที่คุณต้องการย้อนกลับ (ควรถอนการติดตั้งอัปเดตความปลอดภัยหรืออัปเดตคุณภาพล่าสุด)
  • คลิก Uninstall และทำตามขั้นตอนบนหน้าจอ
  • ระบบจะทำการรีสตาร์ทและกู้คืน Windows กลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้า (ข้อควรระวัง: คุณต้องดำเนินการภายใน 10 วันนับจากวันที่อัปเดต)

[Note]: หากเกิน 10 วันหลังการอัปเดต หรือไม่มีตัวเลือกการถอนการติดตั้ง อาจต้องใช้วิธี System Restore Point หรือการใช้ Recovery Image แทน


ลูกค้า MTECH สามารถติดต่อฝ่ายขาย เพื่อ Remote แก้ไขปัญหาโดยทีมงาน Support

screenshot-1764130635958

“Could not access network location Revit ####\ เมื่อติดตั้ง Revit 2023 ขึ้นไป

ปัญหาที่พบ: เมื่อพยายามติดตั้งโปรแกรม Revit เวอร์ชัน 2023 หรือรุ่นที่ใหม่กว่า การติดตั้งหยุดชะงักและล้มเหลว โดยแสดงข้อความแจ้งเตือนดังนี้:

“Could not access network location Revit [Release Version].”

สาเหตุ: ปัญหานี้มักเกิดจากการที่มี ไฟล์ตกค้าง (Remnant files) จากการติดตั้งครั้งก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่ในระบบ Windows ทำให้ตัวติดตั้งเกิดความสับสน


วิธีการแก้ไขปัญหา (Solutions)

ขอแนะนำให้ทำตามขั้นตอนทีละวิธี และลองติดตั้งโปรแกรมใหม่ดูว่าผ่านหรือไม่ ก่อนที่จะข้ามไปทำวิธีถัดไป

วิธีที่ 1: ลบไฟล์ตกค้างออกจากระบบ (Clean Uninstall)

นี่เป็นวิธีพื้นฐานที่สุด คือการลบไฟล์ขยะที่เกี่ยวข้องกับ Revit ออกให้หมด

  • ให้ทำตามขั้นตอน Clean Uninstall (การถอนการติดตั้งแบบสะอาด) ตามมาตรฐานของ Autodesk เพื่อลบไฟล์และโฟลเดอร์ที่เกี่ยวข้องกับ Revit ออกจากเครื่องให้หมดก่อนเริ่มติดตั้งใหม่

วิธีที่ 2: ใช้เครื่องมือ Revit Install Cleanup Utility (เฉพาะ Revit 2023 เท่านั้น)

หากคุณกำลังเจอปัญหานี้กับ Revit 2023 ให้ใช้วิธีนี้ (ห้ามใช้กับเวอร์ชันอื่น)

ขั้นตอน:

  1. ถอนการติดตั้ง (Uninstall) ส่วนเสริม (Extensions) ของ Revit 2023 ทั้งหมด
  2. ถอนการติดตั้งโปรแกรม Revit 2023
  3. ดาวน์โหลดและรันเครื่องมือ Revit 2023 Install Cleanup Utility (สามารถหาได้จากเว็บไซต์ Autodesk) เพื่อลบไฟล์ตกค้างโดยอัตโนมัติ
  4. ลองติดตั้งโปรแกรมใหม่อีกครั้ง

วิธีที่ 3: ลบไฟล์ตกค้างใน Windows Registry (ขั้นสูง)

หากทำตาม 2 วิธีแรกแล้วยังไม่ได้ผล ให้ใช้วิธีนี้

⚠️ คำเตือน: การแก้ไข Windows Registry มีความเสี่ยง หากทำผิดพลาดอาจทำให้ระบบ Windows เสียหายได้ กรุณาสำรองข้อมูล Registry (Backup) ก่อนเริ่มดำเนินการเสมอ

ขั้นตอน:

  1. คลิกปุ่มค้นหาของ Windows (Search) พิมพ์คำว่า “regedit” แล้วกด Enter
  2. ในหน้าต่าง Registry Editor ให้เข้าไปตามที่อยู่นี้: HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Autodesk\UPI
  3. ตรวจสอบโฟลเดอร์ย่อย (Keys) ในนั้น ดูทางฝั่งขวาว่ามีตัวไหนที่มีค่า (Value) เป็น “Revit [เวอร์ชันที่คุณจะลง]” หรือไม่
  4. ตรวจสอบดูว่าที่อยู่ไฟล์ (File path) ที่ระบุในนั้น เป็นตำแหน่งที่ไม่มีอยู่จริงในเครื่องหรือไม่
  5. หากพบ Path ที่ไม่มีอยู่จริง ให้คลิกขวาแล้ว ลบ (Delete) ค่าหรือ Key ที่มีปัญหานั้นทิ้งไป
  6. ลองทำการติดตั้ง Revit ใหม่อีกครั้ง

สรุปสิ่งที่ต้องเตรียมก่อนแก้ไข:

  • สิทธิ์ Administrator ในการจัดการคอมพิวเตอร์
  • หากเป็นคอมพิวเตอร์ของบริษัท แนะนำให้ติดต่อฝ่าย IT เพื่อช่วยดำเนินการในส่วนของการแก้ไข Registry
Screenshot_25-11-2025_16534_www.autodesk.com

Revit 2025 “An unrecoverable error has occurred” on opening Revit

แก้ปัญหา “An unrecoverable error has occurred” เมื่อเปิด Revit 2025 (อัปเดตปี 2025)

ปัญหา “An unrecoverable error has occurred. The program will now be terminated” เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมากใน Revit 2025 โดยเฉพาะตอนเปิดโปรแกรมใหม่ ๆ หรือหลังติดตั้งใหม่ มันทำให้ Revit ปิดตัวลงทันทีและอาจส่งรายงานข้อผิดพลาดไปยัง Autodesk ปัญหานี้มักเกิดจาก:

  • .NET Runtime ไม่ได้ติดตั้งหรือติดตั้งไม่สมบูรณ์ (ปัญหาหลักในเวอร์ชันเริ่มต้น)
  • Add-on จากบุคคลที่สาม (เช่น Environment for Revit) ที่ยังไม่รองรับ Revit 2025
  • การติดตั้ง Revit ที่เสียหาย หรือไฟล์ชั่วคราว/การตั้งค่าผู้ใช้ที่ค้าง
  • เวอร์ชัน Revit ที่เก่าเกินไป (ก่อนอัปเดตล่าสุด)

จากประสบการณ์ของคุณที่บอกว่า อัปเดต Revit 2025 เป็นเวอร์ชันล่าสุดแล้วหาย นี่คือวิธีแก้ที่ยืนยันแล้วว่าทำงานในปี 2025 (ตามข้อมูลล่าสุดจาก Autodesk และชุมชนผู้ใช้) ส่วนในอดีต (เช่นปี 2024) ที่อัปเดตแล้วไม่หาย มักเพราะปัญหา .NET หรือ add-on ยังไม่ได้รับการแก้ไขในแพตช์แรก ๆ แต่ตอนนี้แพตช์ล่าสุด (เช่น 2025.1 หรือสูงกว่า) แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ดีขึ้น

วิธีแก้หลัก: อัปเดต Revit 2025 เป็นเวอร์ชันล่าสุด (แก้ได้ 80-90% ของเคส)

Autodesk แนะนำให้อัปเดตก่อนเสมอ เพราะแพตช์ใหม่ ๆ แก้ไขปัญหา startup crash โดยตรง โดยเฉพาะใน Revit 2025.4 ที่เพิ่งออกมา มีการปรับปรุง CER Service (Customer Error Reporting) ที่อาจทำให้ crash ถ้าไฟล์ขาดหาย

ขั้นตอนอัปเดต (ใช้เวลา 10-30 นาที):

  1. เปิด Autodesk Desktop App (ไอคอนรูปตัว A บนเดสก์ท็อป) หรือไปที่ Autodesk Account
  2. คลิก Product Updates > เลือก Revit 2025 > ดาวน์โหลดและติดตั้งเวอร์ชันล่าสุด (ปัจจุบันคือ 2025.1 หรือสูงกว่า ตรวจสอบวันที่ 25 พ.ย. 2025)
  3. รีสตาร์ทเครื่องหลังติดตั้ง แล้วลองเปิด Revit ใหม่
  4. ถ้าไม่มี Desktop App ให้ดาวน์โหลดจาก Autodesk Download Center

หลังอัปเดต ถ้าปัญหายังอยู่ ลองวิธีอื่นด้านล่าง

วิธีแก้เพิ่มเติม (ถ้าอัปเดตแล้วยังไม่หาย)

จากบทความเก่าของ MTECH Thailand (เมษายน 2024) ที่คุณอ้างอิง ปัญหาในตอนนั้นเกิดจาก .NET 8.0.0 ไม่สมบูรณ์หรือ add-on Environment for Revit ตอนนี้ (ปี 2025) Autodesk มีแพตช์แก้แล้ว แต่ถ้าคุณมี add-on เหล่านี้ ลองทำตามนี้:

1. แก้ปัญหา .NET Runtime (ถ้าอัปเดต Revit ไม่ช่วย)

Revit 2025 ต้องการ .NET Desktop Runtime 8.0.0 และ ASP.NET Core Runtime 8.0.0 ให้ติดตั้งใหม่จากโฟลเดอร์ Revit เอง

ขั้นตอน:

  1. ไปที่โฟลเดอร์ติดตั้ง Revit (ปกติ C:\Autodesk\Revit 2025\ หรือค้นหา “Revit 2025” ใน File Explorer)
  2. เข้าไปที่ \3rdParty\x64\
  3. ไปที่ \dotNet\80 > รัน windowsdesktop-runtime-8.0.0-win-x64.exe (ติดตั้งแบบ Repair ถ้ามี)
  4. ไปที่ \aspNetCore\80 > รัน aspnetcore-runtime-8.0.0-win-x64.exe
  5. รีสตาร์ทเครื่อง แล้วลองเปิด Revit

หรือดาวน์โหลด .NET 8.0 ล่าสุดจาก Microsoft .NET Download

2. Disable Add-on ที่มีปัญหา (เช่น Environment for Revit)

Add-on เก่าอาจทำให้ crash บน startup โดยเฉพาะ Environment for Revit จาก Arch-intelligence ที่ยังไม่รองรับ 2025 ในแพตช์แรก

ขั้นตอน:

  1. ปิด Revit ก่อน
  2. ไปที่ C:\ProgramData\Autodesk\Revit\Addins\2025\
  3. ค้นหาไฟล์ Environment.addin (หรือ add-in อื่นที่สงสัย) > ย้ายไปโฟลเดอร์อื่น (เช่น Desktop) ชั่วคราว
  4. ลองเปิด Revit ถ้าปกติแล้ว ให้รออัปเดต add-on จากผู้พัฒนา (ตรวจสอบที่ Autodesk App Store)

3. ล้างไฟล์ชั่วคราวและรีเซ็ตการตั้งค่า (สำหรับเคสติดขัด)

จากชุมชน Reddit และ Autodesk

ขั้นตอน:

  1. กด Win + R > พิมพ์ %temp% > ลบไฟล์ทั้งหมดในโฟลเดอร์ Temp (ยกเว้นที่ล็อก)
  2. ไปที่ %localappdata%\Autodesk\ > เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ Revit และ Autodesk Revit 2025 เป็น “Revit_old” (Revit จะสร้างใหม่)
  3. ล้าง Performance Monitor: กด Ctrl + Alt + Del > Task Manager > Performance > ตรวจสอบ CPU/RAM ไม่มีปัญหา
  4. รัน Revit as Administrator (คลิกขวาไอคอน > Run as admin)

4. ถ้ายังไม่หาย: Reinstall Revit

  • ถอนการติดตั้ง Revit ผ่าน Control Panel > Programs
  • ลบโฟลเดอร์เหลือใน C:\Program Files\Autodesk\ และ C:\ProgramData\Autodesk\Revit\
  • ดาวน์โหลดและติดตั้งใหม่จาก Autodesk Account (เลือกเวอร์ชันล่าสุดทันที)

ทำไมรอบนี้ (2025) อัปเดตแล้วหาย แต่ก่อน (2024) ไม่หาย?

  • ปี 2024: แพตช์แรก (เมษายน 2567) ยังไม่ครอบคลุม add-on และ .NET บางเคสต้องรอแพตช์ถัดไป
  • ปี 2025: Autodesk ปรับปรุง CER Service และ .NET integration ในแพตช์ 2025.1+ ทำให้อัปเดตเดี่ยว ๆ แก้ได้เร็วขึ้น บวกกับ Windows 11 ที่เสถียรกว่า

สรุปขั้นตอนสั้น ๆ (เริ่มจากอันง่ายสุด)

  1. อัปเดต Revit 2025 ล่าสุด ผ่าน Autodesk Desktop App → ลองเปิด
  2. ถ้าไม่หาย: ติดตั้ง .NET ใหม่จากโฟลเดอร์ Revit
  3. Disable add-on ใน C:\ProgramData\Autodesk\Revit\Addins\2025
  4. ล้าง Temp และรีเซ็ตโฟลเดอร์ %localappdata%\Autodesk\

ถ้าทำตามแล้วยังมีปัญหา ลองส่ง Journal file (ใน %localappdata%\Autodesk\Revit\Journals\) ไปถามใน Autodesk Forum หรือ MTECH Support (marketing@mtechthailand.com) นะครับ ปัญหานี้ส่วนใหญ่แก้ได้ไม่ยาก ถ้าเครื่องสเปคพอ (เช็คที่ Autodesk System Requirements)

ถ้ามีรายละเอียดเพิ่ม (เช่น Journal error หรือ add-on ที่ใช้) บอกมาได้ จะช่วยเจาะลึกกว่านี้! 😊

vrayfor3dsmaxblacks

แก้ปัญหาหน้า Render ดำสนิทใน V-Ray for 3ds Max (ติดตั้งใหม่แล้วเจอจอดำทันที)

ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดเมื่อติดตั้ง V-Ray for 3ds Max ใหม่ ๆ แล้วกด Render ออกมาแล้วได้ภาพดำสนิททั้งแผ่น (แม้จะมีวัตถุและกล้องปกติ) 90% เกิดจาก V-Ray Global Switches ปิดไฟทั้งซีนโดยไม่รู้ตัว ค่าตั้งต้นของ V-Ray เวอร์ชันใหม่ ๆ (โดยเฉพาะ V-Ray 5 ขึ้นไป) จะปิด Lighting ทั้งหมดไว้ก่อน เพื่อป้องกันการ render โดยไม่ตั้งใจในกรณีที่ยังไม่มีไฟ

วิธีแก้อย่างรวดเร็ว (ใช้เวลาไม่ถึง 10 วินาที)

  1. ไปที่เมนู Render Setup (กด F10 หรือคลิกไอคอนกล้องฟิล์ม)
  2. เลือกแท็บ V-Ray (ถ้าไม่เห็น ให้คลิกขวาที่แถบแท็บด้านบนแล้วเลือก Show Tab > V-Ray)

3.เข้าไปที่ rollout V-Ray: Global switches ปรับจาก Standard > Advanced


4.Default lights: เปลี่ยนจาก Off with GI เป็น On with GI


จบปัญหาจอดำใน V-Ray เวอร์ชันใหม่เรียบร้อย!

ADC need to clear

เจอปัญหา “Desktop Connector folder needs to be cleared” เมื่อเปิดเครื่องหรือเปิด Autodesk Desktop Connector

ปัญหา: ผู้ใช้หลายรายพบว่าเมื่อเปิดคอมพิวเตอร์หรือเปิดโปรแกรม Autodesk Desktop Connector จะปรากฏข้อความแจ้งเตือนดังนี้

Desktop Connector Desktop Connector folder needs to be cleared เราพบว่าโฟลเดอร์ Desktop Connector ของคุณยังมีไฟล์ที่หลงเหลือมาจากการติดตั้งหรืออินสแตนซ์ก่อนหน้า คุณต้องลบหรือย้ายข้อมูลเหล่านี้ออกไปนอกโฟลเดอร์ Desktop Connector ไฟล์ข้อมูลของคุณอยู่ที่เส้นทางโฟลเดอร์ด้านล่างนี้ เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้รีสตาร์ท Desktop Connector อีกครั้ง


วิธีแก้ไขปัญหา
เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ Autodesk Construction Cloud (ACC) Docs

1.เมื่อเจอป๊อปอัป “Desktop Connector folder needs to be cleared” ให้คลิกลิงก์ที่อยู่ในข้อความ (ปกติจะเป็นลิงก์สีฟ้า) เพื่อเปิดไปยังโฟลเดอร์ที่มีปัญหาทันที


2.กลับมาที่โฟลเดอร์ที่เปิดไว้ในขั้นตอนที่ 1
– คลิกขวาที่โฟลเดอร์ชื่อ “ACC Docs”
– เลือก “เปลี่ยนชื่อ” (Rename)
– ตั้งชื่อใหม่ เช่น ACC Docs_Old หรือ ACC Docs_Backup


3.ปิด Desktop Connector ให้สนิทก่อน โดยคลิกขวาที่ไอคอน Desktop Connector บน System Tray (มุมล่างขวา) → เลือก “Shut down”


4.เปิด Autodesk Desktop Connector ใหม่อีกครั้ง ระบบจะสร้างโฟลเดอร์ “ACC Docs” ใหม่ให้อัตโนมัติ

5.เมื่อ Desktop Connector เปิดขึ้นมา จะให้คุณเลือกโปรเจกต์ใหม่ (Select your project / Choose your hubs)

ให้เลือก Hub และโปรเจกต์เดิมที่เคยใช้เหมือนปกติ


7.รอให้ซิงค์ข้อมูลใหม่จนเสร็จ (อาจใช้เวลาสักครู่ ขึ้นอยู่กับจำนวนไฟล์)

เสร็จเรียบร้อย! ปัญหาจะหายไป และคุณสามารถใช้งานได้ตามปกติ


0EM3g000003ix6T

เปิด Revit แล้วมีแถบดำกะพริบๆ ปัญหาจาก SQLDUMPER.EXE

เจอเคสแปลกๆนานๆเจอที เวลากดเปิดโปรแกรม Revit หรือ Advance Steel แล้วจู่ๆ ก็มีหน้าต่างสีดำกะพริบถี่ๆ ขึ้นมาบนหน้าจอจนแทบจะอ่านไม่ทัน ต้องเพ่งดูทีละตัวถึงจะเห็นว่าชื่อมันคือ SQLDUMPER.EXE

ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 11 และมี SSD/NVMe drive ที่มีขนาดเซกเตอร์ใหญ่กว่า 4KB ซึ่ง Autodesk Support ระบุว่าเป็นสาเหตุหลัก เพราะ SQL Server ที่เป็นฐานข้อมูลของโปรแกรมไม่สามารถทำงานบนไดรฟ์ที่มีขนาดเซกเตอร์แบบนี้ได้


สาเหตุหลักและวิธีแก้ไขที่ซับซ้อน

บทความจาก Autodesk อธิบายสาเหตุและแนวทางแก้ไขไว้อย่างละเอียด ซึ่งต้องยอมรับว่าค่อนข้างซับซ้อนและใช้เวลาพอสมควร เช่น

  • แก้ไข Registry: ต้องเข้าไปแก้ไขค่าใน Windows Registry ด้วยตัวเอง เพื่อบังคับให้ระบบจำลองขนาดเซกเตอร์เป็น 4KB เหมือนกับใน Windows 10
  • ตรวจสอบและแก้ไขสิทธิ์การใช้งานโฟลเดอร์: ต้องเข้าไปเช็กสิทธิ์การใช้งานของโฟลเดอร์โปรแกรมใน C:\ProgramData\Autodesk เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้มีสิทธิ์ Full control
  • ตรวจสอบและแก้ไขการติดตั้ง SQL Server LocalDB: ต้องใช้เครื่องมือและขั้นตอนที่ซับซ้อนเพื่อตรวจสอบว่าไฟล์ฐานข้อมูล SQL Server เสียหายหรือไม่

วิธีเหล่านี้ต้องใช้ความเข้าใจทางเทคนิคพอสมควร และบางครั้งทำตามหลายขั้นตอนแล้วก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
อ้างอิงบทความ >> SQLDUMPER.EXE window opening and closing when launching or working in Revit or Advance Steel


วิธีแก้ไขที่ง่ายและได้ผลทันที

แต่จากการลองผิดลองถูก มีวิธีหนึ่งที่ง่ายและได้ผลทันทีโดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนที่ซับซ้อน นั่นก็คือ:

“ลบ SQL Server ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องทิ้งไปซะ!”

พอถอนการติดตั้ง SQL Server ออกจากระบบ ปัญหาหน้าต่างกะพริบก็หายไปทันที ทำให้สามารถใช้งาน Revit ได้อย่างปกติ . วิธีนี้อาจดูรุนแรงไปบ้าง แต่ในเมื่อวิธีที่ซับซับซ้อนใช้ไม่ได้ผล การแก้ปัญหาแบบตรงไปตรงมาก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ

วิธีลบและซ่อมแซม SQL Server

การลบหรือซ่อมแซม SQL Server สามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้:

  1. กดปุ่ม Start แล้วพิมพ์ appwiz.cpl เพื่อเปิดหน้าต่าง Programs and Features
  2. ในช่องค้นหา พิมพ์ sql
  3. คลิกขวาที่ SQL Server LocalDB แล้วเลือก:
    • Repair: หากต้องการซ่อมแซมไฟล์ที่เสียหาย โดยข้อมูลต่างๆ จะยังคงอยู่ครบ
    • Uninstall: หากต้องการลบโปรแกรมออกทั้งหมด

SQL Server คืออะไร? ลบแล้วจะมีปัญหาไหม?

SQL Server คือโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน “คลังข้อมูล” ของแอปพลิเคชันต่างๆ . สำหรับ Revit หรือ Advance Steel จะใช้ SQL Server LocalDB ซึ่งเป็นเวอร์ชันย่อส่วนเพื่อเก็บข้อมูลโปรเจกต์และข้อมูลเฉพาะของโปรแกรมไว้ในเครื่อง

หน้าที่หลัก:

  • จัดเก็บข้อมูล: เก็บข้อมูลในรูปแบบตารางอย่างเป็นระบบ
  • จัดการข้อมูล: ช่วยให้โปรแกรมสามารถเรียกดู, เพิ่ม, แก้ไข หรือลบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

ลบแล้วมีปัญหาไหม?

การลบ SQL Server LocalDB อาจทำให้ฟังก์ชันบางอย่างของ Revit หรือ Advance Steel ที่ต้องใช้ฐานข้อมูลไม่สามารถทำงานได้ เช่น การจัดการข้อมูลโปรเจกต์บางส่วน อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่โปรแกรมมีปัญหาแถบดำกะพริบ การลบ SQL Server มักเป็นวิธีที่ได้ผล เพราะปัญหานี้เกิดจากความไม่เข้ากันของ SQL Server กับฮาร์ดแวร์หรือระบบปฏิบัติการบางอย่าง เมื่อลบออก ปัญหาก็จะหายไป ทำให้โปรแกรมสามารถเปิดใช้งานได้ตามปกติครับ

MTECHDRNYT

วีดีโอสาธิตกรใช้ Fusion 360 ในการออกแบบ Drone ด้วย Generative Design ด้วย Autodesk Fusion จาก KPR Institute of Engineering and Technology 

Autodesk Fusion 360 มีบทบาทสำคัญอย่างมากในอุตสาหกรรมโดรน ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบไปจนถึงการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ด้วยความสามารถที่หลากหลายและครบวงจร ทำให้เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนาโดรน ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ บทบาทหลักๆ มีดังนี้:

  1. การออกแบบโครงสร้างโดรน (Drone Structure Design – CAD):
    • การสร้างโมเดล 3 มิติที่ซับซ้อน: Fusion 360 ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างโมเดล 3 มิติของโครงสร้างโดรนได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเฟรม, แขน, หรือส่วนประกอบอื่นๆ ด้วยเครื่องมือ Parametric, Freeform (T-spline), และ Surface Modeling
    • การออกแบบชิ้นส่วนภายใน: สามารถออกแบบช่องสำหรับใส่แบตเตอรี่, แผงวงจรควบคุมการบิน (Flight Controller), มอเตอร์, และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงพื้นที่และการจัดวาง
    • การประกอบชิ้นส่วน (Assembly): สามารถประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันในโมเดล 3 มิติ เพื่อดูภาพรวมของโดรนที่สมบูรณ์ และตรวจสอบความเข้ากันได้ของชิ้นส่วน
    • การออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB Design): เนื่องจากโดรนมีส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก Fusion 360 มีเครื่องมือสำหรับการออกแบบ PCB โดยตรง ทำให้สามารถทำงานร่วมกันระหว่างการออกแบบโครงสร้างเชิงกลและการออกแบบวงจรไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น
  2. การวิเคราะห์และจำลอง (Analysis and Simulation – CAE):
    • การวิเคราะห์ความแข็งแรง (Static Stress Analysis): สามารถจำลองและทดสอบว่าโครงสร้างโดรนจะรับแรงกระทำต่างๆ ได้ดีเพียงใด เช่น แรงที่เกิดจากการลงจอด หรือแรงสั่นสะเทือนจากมอเตอร์ เพื่อให้มั่นใจในความทนทานและความปลอดภัย
    • การวิเคราะห์การสั่นสะเทือน (Modal Frequency Analysis): ช่วยในการระบุความถี่ธรรมชาติของโครงสร้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการสั่นพ้องที่อาจทำให้โดรนทำงานผิดปกติ หรือเกิดความเสียหาย
    • Generative Design: เป็นบทบาทที่สำคัญมากในอุตสาหกรรมโดรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดน้ำหนักของชิ้นส่วน ซอฟต์แวร์สามารถสร้างรูปทรงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับชิ้นส่วนโดรน (เช่น แขนโดรน, ตัวยึดต่างๆ) โดยมีน้ำหนักเบาที่สุด แต่ยังคงความแข็งแรงตามที่ต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประสิทธิภาพการบินและระยะเวลาการบินของโดรน
  3. การเตรียมการผลิต (Manufacturing – CAM):
    • การสร้าง G-code สำหรับ CNC Machining: สำหรับชิ้นส่วนโดรนที่ผลิตด้วยการกัด CNC (เช่น เฟรมคาร์บอนไฟเบอร์) Fusion 360 สามารถสร้าง G-code เพื่อควบคุมเครื่องจักรได้อย่างแม่นยำ
    • การเตรียมไฟล์สำหรับการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing): ชิ้นส่วนโดรนหลายอย่าง เช่น ตัวยึดกล้อง, กล่องใส่แบตเตอรี่, หรือแม้แต่เฟรมบางส่วน มักจะถูกพิมพ์ด้วย 3D Printer Fusion 360 สามารถส่งออกไฟล์ในรูปแบบ STL ที่พร้อมสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ และยังสามารถตรวจสอบกระบวนการพิมพ์ได้ใน Workspace การผลิต
    • การตรวจสอบการผลิต (Part Inspection): ช่วยให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของชิ้นงานที่ผลิตออกมาได้
  4. การทำงานร่วมกันและการจัดการข้อมูล (Collaboration and Data Management):
    • การทำงานบนคลาวด์: ทีมงานที่พัฒนาโดรนสามารถทำงานร่วมกันบนแพลตฟอร์มคลาวด์ของ Fusion 360 ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ทำให้การแชร์ไฟล์, การแก้ไข, และการให้ข้อเสนอแนะเป็นไปอย่างราบรื่นและเรียลไทม์
    • การควบคุมเวอร์ชัน: ช่วยให้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของงานออกแบบ และกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้หากจำเป็น ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

หากสนใจศึกษาเพิ่มเติมยังมีบทความละเอียดๆจาก Autodesk ให้ศึกษาอีก 65 หน้า !! > Racing-Drone Design Fundamentals with Fusion 360 | Autodesk University

0EMKf000007vQzy

AutoCAD Plot Error “Error(S) Did not Plot” :The destination directory for the output file does not exist.

เมื่อคุณพยายาม Publish ไฟล์ด้วยการตั้งค่า Overrides ใน Sheet Set Manager ของ AutoCAD แล้วพบข้อผิดพลาด “ERROR: The destination directory for the output file does not exist.” (โฟลเดอร์ปลายทางสำหรับไฟล์เอาท์พุตไม่มีอยู่จริง) และไฟล์งานไม่ถูก Plot นี่คือสาเหตุและวิธีแก้ไข:

สาเหตุ

  • โฟลเดอร์เทมเพลตสำหรับสร้างชีทไม่ถูกต้อง: โฟลเดอร์ที่คุณกำหนดไว้สำหรับ Sheet creation template (เทมเพลตการสร้างชีท) ไม่มีอยู่จริง หรือไม่มีไฟล์เทมเพลต (DWT) อยู่ในโฟลเดอร์นั้น
  • ตำแหน่ง Publish ไม่ถูกต้อง: โฟลเดอร์ที่ระบุภายใต้ “Location” ในส่วน “Publish Option Information” ไม่ถูกต้อง

1. ตรวจสอบและแก้ไขโฟลเดอร์เทมเพลตสำหรับการสร้างชีท

  1. คลิกขวาที่ชื่อ Sheet Set ของคุณใน Sheet Set Manager
  2. เลือก Sheet Set Properties
  1. คลิกที่ช่องไดเรกทอรีที่กำหนดไว้สำหรับ Sheet creation template
  2. เรียกดู (Browse) ไปยังโฟลเดอร์ที่คุณต้องการ และดำเนินการดังนี้:
    • ตรวจสอบว่าโฟลเดอร์นั้นมีอยู่จริง: ถ้าไม่มี ให้เลือกโฟลเดอร์ที่ถูกต้อง
    • ตรวจสอบว่ามีไฟล์ Creation template (DWT) อยู่ในโฟลเดอร์นั้น: ถ้าไม่มี ให้เพิ่มไฟล์ DWT เข้าไปในโฟลเดอร์นั้น

2. ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งภายใต้ Publish Option Information

  1. เปิดหน้าต่าง Publish (โดยปกติคือการคลิกปุ่ม Publish หลังจากเลือกชีทที่ต้องการ)
  2. ในส่วน “Publish Option Information” ให้ตรวจสอบว่าไดเรกทอรีที่แสดงภายใต้ “Location” นั้นถูกต้องและมีอยู่จริง
Autodesk-Tandem-Hand-Guide (คู่มือสำหรับการใช้ Tandem)

Autodesk Tandem Hand-Guide สำหรับผู้ใช้งานใหม่

Autodesk Tandem คืออะไร?

Autodesk Tandem คือแพลตฟอร์ม Digital Twin ที่ช่วยบริหารจัดการข้อมูลอาคาร ที่รวบรวมข้อมูลตั้งแต่ดีไซน์ ก่อสร้าง ไปจนถึงงการดูแลอาคาร ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นภาพรวม และจัดการง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล BIM การบำรุงรักษา หรือการใช้พลังงาน

MTECH ได้จัดทำคู่มือการใช้งาน Autodesk Tandem คู่มือนี้อธิบายคุณสมบัติหลักต่างๆ เช่น

  • การสร้างและจัดการ Facility Templates
  • Classes
  • Parameters
  • การจัดการทีมผู้ใช้งานและสิทธิ์
  • การติดตามการใช้งานและประวัติการเปลี่ยนแปลง
  • การนำเข้าและจัดการโมเดล (เช่น Revit, IFC) จากแหล่งต่างๆ เช่น Autodesk Docs

นอกจากนี้ยังครอบคลุมการใช้ฟังก์ชันต่างๆ ใน Viewer เช่น Navigation Controls, Analytics Tools, Saved Views และ Dashboards เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสำรวจและวิเคราะห์ Digital Twin ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สามารถดาวน์โหลดฉบับเต็มได้ที่ link ด้านล่างได้เลย รับรองว่าจะได้วิธีการใช้งาน Tandem แบบจัดเต็ม

Link PDF:

Adobe delete drump

📢 ลูกค้า Adobe ลองเช็คสิ่งนี้! อาจได้พื้นที่ Drive C: คืนเป็น ร้อยๆ GB 😱


ลูกค้า Adobe ลองเช็คสิ่งนี้! อาจได้พื้นที่ Drive C: คืนเป็น ร้อยๆ GB 😱

ถ้าคุณใช้โปรแกรมจาก Adobe อยู่เป็นประจำ เช่น Photoshop, Illustrator หรือ Premiere Pro… มีโอกาสสูงที่โปรแกรมเหล่านี้อาจทิ้ง “ขยะดิจิทัล” ไว้ในเครื่องคุณโดยไม่รู้ตัว!

📁 CRLogs > dumps
เส้นทาง:
C:\Users\<ชื่อผู้ใช้>\AppData\LocalLow\Adobe\CRLogs\dumps


❗โฟลเดอร์นี้คืออะไร?

Adobe จะสร้างไฟล์ที่เรียกว่า Crash Dump Logs ขึ้นมาเมื่อโปรแกรมเกิดข้อผิดพลาดหรือล่ม เพื่อส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Adobe ช่วยในการปรับปรุงโปรแกรม

แต่ปัญหาคือ…
🔸 บางเวอร์ชันเก่า มีบั๊กที่ทำให้ลบไฟล์เหล่านี้ไม่สำเร็จ
🔸 ทำให้ไฟล์เหล่านี้สะสมจนกินพื้นที่ไปมหาศาล!

“CR Logs ควรถูกลบโดยอัตโนมัติหลังจากส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Adobe แต่ในเวอร์ชันเก่า มีบางกรณีที่ไฟล์ไม่ถูกลบหากส่งไม่สำเร็จ ซึ่งได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่” — Kanika • Adobe Employee, Feb 02, 2018


🧯 ลบได้มั้ย? ปลอดภัย 100%

คุณสามารถลบไฟล์ในโฟลเดอร์ dumps ได้ทันที โดยไม่มีผลกระทบต่อการใช้งาน Adobe ใดๆ
หลายคนค้นพบว่าโฟลเดอร์นี้กินพื้นที่ไปถึง
150 – 350 GB 😱